อุปกรณ์พื้นฐานของระบบเสียงประกาศ
1. ไมค์โครโฟน (Microphone)ในระบบเสียงประกาศมีไมค์โครโฟนหลักๆอยู่ 2 แบบ คือแบบธรรมดาทั่วไปจะใช้ไมค์โครโฟนแบบตั้งโต๊ะหรือไมค์ธรรมดาทั่วไปก็ได้ และอีกแบบหนึ่งคือไมค์โครโฟนแบบที่สามารถเลือกพื้นที่สำหรับประกาศได้ เพื่อต้องการประกาศเฉพาะบางพื้นที่ทำให้ไม่ไปรบกวนพื้นที่อื่น เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานถ้าเราต้องการประกาศรวมทั้งหมดก็ไม่มี เหตุจำเป็นที่ต้องใช้ไมค์โครโฟนแบบเลือกโซนได้
2. เครื่องผสมสัญญาณเสียง (Mixer)
สิ่งสำคัญในการเลือกเครื่องผสมสัญญาณคือจำนวนต้นทางของแหล่งกำเนิดเสียง ว่ามีเท่าไหร่เราก็สามารถเลือกช่องสัญญาณให้เหมาะสมได้ เครื่องผสมสัญญาณเสียงบางตัวมีระบบขยายในตัวก็สามารถใช้งานได้เลยโดยไม่ต้อง ซื้อเครื่องขยายเสียงเพิ่มแต่อย่างใด อีกทั้งมีช่องสัญญาณขาออกที่สามารถแบ่งโซนได้เลยโดยไม่ต้องเพิ่มเครื่อง เลือกโซนแต่อย่างใด
เสียง (Sound)
เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของมัลติมีเดีย โดยจะถูกจัดเก็บอยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตอลซึ่งสามารถเล่นซ้ำกลับไปกลับมาได้ โดยใช้โปรแกรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับทำงานด้านเสียงหากในงานมัลติมีเดีย มีการใช้เสียงที่เร้าใจและสอดคล้องกับเนื้อหาในการนำเสนอ จะช่วยให้ระบบมัลติมีเดียนั้นเกิดความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความน่าสนใจและน่าติดตามในเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากเสียงมีอิทธิพลต่อผู้ใช้มากกว่าข้อความหรือภาพนิ่งนั้นเอง ดังนั้นเสียงจึงเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับมัลติมีเดียซึ่งสามารถนำเข้า เสียงผ่านทางไมโครโฟน แผ่น CD DVD เทป และวิทยุ เป็นต้น
ลักษณะของเสียง
ลักษณะของเสียง ประกอบด้วยคลื่นเสียงแบบออดิโอ (Audio) ซึ่งมีฟอร์แมตเป็น .wav, .auการบันทึกจะบันทึกตามลูกคลื่นเสียง โดยมีการแปลงสัญญาณให้เป็นดิจิทัล และใช้เทคโนโลยีการบีบอัดเสียงให้เล็กลง (ซึ่งคุณภาพก็ต่ำลงด้วย)เสียง CD เป็นรูปแบบการบันทึก ที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ เสียงที่บันทึกลงในแผ่น CD เพลงต่างๆ
มาตรฐานการบีบอัดข้อมูล เสียงที่มีคุณภาพดี มักจะมีขนาดโต จึงต้องมีการบีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง มาตรฐานการบีบอัดข้อมูล ได้แก่
ADPCM - Adaptive Differential Pulse Code Modulation โดยจะทำการบีบอัดข้อมูลที่มีการ บันทึกแบบ 8 หรือ 16 บิท โดยมีอัตราการบีบอัดประมาณ 4:1 หรือ 2:1u-law, A-law เป็นมาตรฐานที่กำหนดโดย CCITT สามารถบีบอัดเสียง 16 บิท ได้ในอัตรา 2:1
MACE มีจุดเด่นคือ บีบอัดและขยายข้อมูลให้มีขนาดเท่าเดิมได้ จึงใช้ได้เฉพาะข้อมูลเสียง 8 บิต อัตรา การบีบอัดคือ 3:1 และ 6:1 อย่างไรก็ตามคุณภาพเสียงไม่ดีเท่าที่ควร และทำงานได้เฉพาะกับ Macเท่านั้น
MPEG เป็นมาตรฐานการบีบอัดข้อมุลที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยชื่อนี้เป็นชื่อย่อของทีมงานพัฒนา Moving Picture Export Group โดยปัจจุบันมีฟอร์แมตที่นิยมคือ MP3 (MPEG 1 Audio Layer 3) ซึ่งก็คือเทคดนโลยีการบีบอัดข้อมูลเสียงของมาตรฐาน MPEG 1 นั้นเอง เป็นไฟล์ที่นิยมใช้กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตด้วย
MIDI (Musical Instrument Digital Interface)
เป็นรูปแบบของเสียงที่แทนเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ สามารถเก็บข้อมูล และให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเสียงตามตัวโน้ต เสมือนการเล่นของเครื่องเล่น ดนตรีนั้นๆ เทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียง ประกอบด้วย การบันทึกข้อมูลเสียง เสียงที่ทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งมี 2 รูปแบบคือ
Synthesize Sound เป็นเสียงที่เกิดจากตัววิเคราะห์เสียง ที่เรียกว่า MIDI โดยเมื่อตัวโน้ตทำงาน คำสั่ง MIDI จะถูกส่งไปยัง Synthesize Chip เพื่อทำการแยกสียงว่าเป็นเสียงดนตรีชนิดใด ขนาดไฟล์ MIDI จะมีขนาดเล็ก เนื่องจากเก็บคำสั่งในรูปแบบง่ายๆ Sound Data
เป็นเสียงจากที่มีการแปลงจากสัญญาณ analog เป็นสัญญาณ digital โดยจะมีการบันทึกตัวอย่างคลื่น (Sample) ให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งในช่วงของเสียงนั้นๆ และการบันทึกตัวอย่างคลื่นเรียงกันเป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีคุณภาพที่ดี ก็จะได้ขนาดไฟล์โตตามมาตรฐานของ Samplerate เท่ากับ 11kHz,44kHz Sample Size แทนค่าด้วย bits คือ 8 และ 16 บิท ใช้อธิบายจำนวนของข้อมูลที่ใช้จัดเก็บในคอมพิวเตอร์ คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ได้แก่ Audio-CDที่เท่ากับ 44kHz ระบบ 16 บิท เป็นต้น
ระบบเสียงดิจิตอล
อุปกรณ์ในการบันทึกเสียงแต่เดิมนั้นใช้ เทป แผ่นเสียง แต่อุปกรณ์เหล่านี้กำลังถูกเปลี่ยนไปการจัดเก็บ โดยแปลงให้อยู่ในรูปแบบ wav แล้วจึงเก็บลงใน Hard Disk หรือ CD-ROM การตัดต่อ การนำไปปรับปรุง แต่งเติม ด้วยกระบวนการอย่างไม่เป็นลำดับ (Non-Linear Audio Editing) การนำเอาเสียงดนตรีที่มีรูปแบบแฟ้มข้อมูลแบบ MIDI การนำเสียงจากที่ต่างๆ มาผสมผสานใหม่ขบวนการจัดการกับเสียงแบบดิจิตอลนี้ ทำให้ศิลปินสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพ และตรงกับใจของตัวเองได้มากที่สุด
รวมไปถึงขบวนการของระบบเสียงใหม่ ๆ อย่างเช่น Dolby Digital Stereo เป็นระบบเสียงสองช่องเสียง ที่บันทึกแบบดิจิตอล หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง อย่าง 5.1 Digital Surround Sound เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการสื่อสารที่มาใหม่ ได้แก่ Webcast, Web-TV , วิทยุทางอินเตอร์เน็ต … ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณ ที่ความเร็วต่ำ มาทางสายโทรศัพท์ มายังเครื่องคอมพิวเตอร์ การส่งข้อมูลเป็นแบบสารธาร (Streaming Data) ที่ทำให้การส่งทั้งภาพวีดิทัศน์ และเสียง สามารถส่งมาพร้อมกันได้
“ระบบเสียง”
คำๆ นี้หลายคนคงได้ยินกันอย่างคุ้นหู แล้วมีใครพอรู้มั่งว่าระบบเสียงที่เราเคยได้ สัมผัสนั้น มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ อุปกรณ์มัลติมีเดียต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็น ลำโพง (Speaker) หรือซาวนด์การ์ด (Sound Card) นั้นได้มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง จนมีบางคนถึงกับตามไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์พวกนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ระบบเสียงที่มาพร้อมกับอุปกรณ์เหล่านี้ ถ้าใครเคยอ่านบทความเกี่ยวกับอุปกรณ์ จำพวกมัลติมีเดีย ก็คงจะได้เห็นเขาเขียนเกี่ยวกับระบบเสียงโน้น ระบบเสียงนี้ เช่น ระบบเสียงแบบ THX, Dolby Digital, DTS ฯลฯ
แล้วมีใครพอจะทราบไหมว่าระบบเสียงพวกนี้ มันมีการทำงานอย่างไร แล้วสามารถให้เสียงที่มีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะสัมผัสพลังเสียงที่สุดยอดแบบนี้ได้อย่างเต็มที่ คุณจะต้องมีประสาทสัมผัสที่ดีสักนิดหนึ่งครับ พอที่จะแบ่งแยกระบบเสียงต่างๆ ได้ รับรองได้เลยว่าคุณจะได้สัมผัสระบบเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และสามารถสร้างความบันเทิงให้คุณได้เป็นอย่างดี จริงๆ แล้วการแบ่งระบบเสียงนั้น ส่วนมาก ผู้พัฒนาระบบเสียงจะเป็นผู้ที่คิดค้นระบบเสียงออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เราเห็นระบบเสียงแปลกๆ ออกมาอยู่เรื่อย เช่น ระบบเสียงแบบ THX ที่เราคุ้นกันดี ระบบเสียงแบบ Dolby ที่สามารถแยกเป็นระบบเสียงย่อยๆ อีกหลายแบบ รวมทั้งระบบเสียงแบบ DTS ที่มีอยู่หลายแบบเหมือนกัน โดยระบบเสียงใหม่ๆ ที่ออก มานั้น ส่วนมากสามารถสนับสนุนระบบเสียงแบบ โฮมเธียเตอร์ได้ทั้งสิ้น
นอกจากอุปกรณ์ที่ได้บอกมาข้างต้นแล้ว เราสามารถที่จะเห็นป้ายโลโก้ระบบเสียงต่างๆ ติดไว้บนอุปกรณ์จำพวกแผ่น DVD ต่างๆ เช่น แผ่นภาพยนตร์ ทำให้ทราบว่าเขาได้นำระบบเสียงที่มีคุณภาพใส่ลงไปใน DVD นี้ด้วย แต่การที่จะทำให้ระบบนี้มีความสมบูรณ์สูงสุด จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อื่นที่สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย เช่นกัน เช่น ลำโพง เป็นต้น
ต่อไปเรามาดูระบบเสียงที่เราเคยคุ้นหูและคุ้นหน้าคุ้นตากันว่าแต่ละระบบ เสียงนั้นมีการ ทำงานอย่างไรกันบ้าง รวมทั้งระบบเสียงอีกหลาย รูปแบบที่เราไม่ค่อยคุ้นตากันมากนัก ซึ่งสามารถที่จะทราบได้จากบทความนี้อย่างละเอียด
ระบบเสียงแบบ Stereo
ถ้าพูดถึงระบบเสียงแบบ Stereo หลายคนคง ร้องอ๋อขึ้นมาเลย เพราะว่าระบบเสียงแบบ Stereo นี้ เป็นระบบเสียงที่มีมานานแล้วและหลายคนคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยระบบเสียงที่ได้ จากระบบนี้นั้น ถ้าให้พูดกันตามตรงเป็นระบบเสียงที่ให้เสียงที่ไม่ดีมากนัก ถ้าเปรียบเทียบกับระบบเสียงในปัจจุบันนี้ แต่ก็ถือว่าดีที่สุดแล้วเมื่อหลายปีที่ผ่านมา การสร้างเสียงของระบบ Stereo นี้ จะสังเคราะห์เสียงออกทางลำโพงที่มีการทำงานแบบ 2 แชนแนล ซึ่งจะมีเสียงออกทั้งทางซ้ายและทางขวาเท่านั้นเอง สัญญาณเสียงที่ได้ส่วนมากจะเป็นสัญญาณ เสียงแบบอนาล็อก ในการติดตั้งลำโพงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แค่วางลำโพง ไว้ด้านซ้าย-ขวา เท่านั้นก็พอแล้ว
ระบบ Dolby Surround
ระบบเสียงนี้ถือเป็นระบบเสียงดั้งเดิมอีกระบบหนึ่งที่สามารถสร้างระบบสาม มิติแบบหลายแชนแนล ที่คล้ายกับการได้ยินในโรงภาพยนตร์ เทคโนโลยีนี้เป็นการเข้ารหัสเสียงแบบ 4 ช่องสัญญาณเสียง คือ ซ้าย เซ็นเตอร์ ขวาและตัวเซอราวนด์ ทำให้เสียงที่ได้มีการกระจายออกสู่ลำโพงทั้ง 4 ช่องสัญญาณเสียง เกิดมิติของเสียงขึ้น ระบบเสียงแบบ Dolby Surround นี้ส่วนมาก จะพบใน อุปกรณ์จำพวก วิดีโอคาสเซท, ดีวีดี หรือฟิล์ม เป็นต้น แต่ในช่วงหลังๆ นี้ระบบเสียงแบบนี้เริ่มจางหายไป อันเนื่องมาจากถูกระบบเสียงใหม่ๆ ตีซะกระเจิง
ระบบ Dolby Digital (AC-3)
ระบบเสียง Dolby Digital เป็นอีกหนึ่งในระบบเสียงคุณภาพเสียงของ Dolby ที่สร้างความโด่งดังจนหลายคนรู้จักระบบนี้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีของระบบนี้คือ กระบวนการสร้างระบบเสียงแบบ เซอราวนด์ที่ให้คุณภาพเสียงในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอลที่มีคุณภาพ และรองรับช่องสัญญาณเสียงที่มากถึง 5.1 ช่องสัญญาณเสียง โดยมาจากช่องสัญญาณเสียงทางซ้าย เซ็นเตอร์ ขวา เซอราวนด์ซ้าย เซอราวนด์ขวาและซับวูเฟอร์ที่ให้ความถี่ต่ำ (โดยคิดเป็นแค่ .1 เท่านั้น)
ระบบ Dolby Digital นี้ เป็นมาตรฐานของระบบเสียงที่ได้จากระบบ DVD มีเสียงที่แยกจากกันอย่างเห็นได้ชัดและมีการกระจายของเสียงที่ดี ระบบเสียงแบบนี้สามารถรับฟังได้จากเครื่องเล่น DVD, เครื่องเล่นวิดีโอ, Microsoft Xbox Game Consoles, Digital TV หรือการเชื่อมต่อร่วม กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ผ่านสายส่งข้อมูลแบบดิจิตอล เป็นต้น
ระบบ Dolby Digital Surround EX
เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เราเริ่มเห็นได้บ่อยครั้งมาก โดยระบบเสียง Dolby Digital Surround EX นี้ได้ถูกพัฒนามากจากระบบเสียง Dolby Digital 5.1 ผู้ผลิตระบบเสียงได้เพิ่มช่องสัญญาณเสียงแบบเซอราวด์เข้ามาอีกหนึ่งตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มมิติของเสียงให้ดียิ่งกว่าเดิม ท่านเคยสังเกตไหมครับว่าเวลาดูภาพยนตร์ในโรงหนังนั้น บางครั้งเราจะได้ยินเสียง บางอย่างจากด้านหลัง เช่น อาจเป็นเสียงจิ้งหรีดหรือเสียงคนเดิน นั่นแหละครับคือระบบเสียงที่เพิ่มเข้ามา เพื่อเพิ่มความสมจริงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นช่องสัญญาณเสียงทั้งหมดก็จะมาจากทางซ้าย เซ็นเตอร์ขวา เซอราวด์ซ้าย เซอราวด์ขวา เซอราวด์ด้านหลังและซับวูฟเฟอร์ เราสามารถที่จะพบและได้ยินระบบ เสียงแบบนี้ในระบบ Home Entertainment
ระบบ Dolby Pro Logic
ระบบเสียงแบบ Dolby Pro Logic นี้เป็นอีกระบบเสียงหนึ่งที่โด่งดังมากในเมื่อไม่นานนี้ แต่ตอนนี้ได้ถูกระบบเสียงใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดของเสียงอยู่ โดยระบบเสียงนี้เป็นระบบเสียงที่มีการส่งสัญญาณเสียงแบบหลายช่องทาง เสมือนระบบเสียงที่ได้จากระบบโฮมเธียเตอร์ ซึ่งจะทำการถอดรหัสเสียงจากลำโพงทางด้านซ้าย ขวา เซ็นเตอร์ และเซอราวด์ ระบบเสียงแบบที่บอกนี้ สามารถที่จะรับฟังได้จากระบบโฮมออดิโอทั่วไป (เน้นช่องเสียงทางด้านซ้ายและขวาเป็นหลัก)
ระบบ Dolby Pro Logic II
เป็นระบบเสียงสมัยใหม่ที่พัฒนามาจากระบบเสียง Dolby Pro Logic ที่ใช้เทคโนโลยีการถอดรหัสเสียงแบบเมทริกโดยรับสัญญาณเสียงมาจาก 2 ช่องสัญญาณเสียงหลัก เช่น จากเครื่องเล่น CD, วิดีโอคาสเซทหรือวิดีโอเกม เป็นต้น และจะกระจายเสียงที่ได้นั้นออกเป็น 5 ช่องสัญญาณเสียง ได้แก่ ช่องเสียงทางซ้าย เซ็นเตอร์ ทางขวา เซอราวนด์- ซ้ายและเซอราวนด์ขวา ซึ่งให้เสียงที่มีมิติและมี การกระจายของเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้น สามารถครอบคลุมบริเวณรอบๆ ของ ผู้ฟัง ระบบเสียงนี้หลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีซึ่งให้เสียงที่มีคุณภาพ หลายคนคงได้สัมผัสกันมาแล้วใช่ไหมครับ แต่อาจไม่ทราบว่าเป็นระบบเสียงแบบใด เราสามารถที่จะสัมผัสระบบนี้ได้จากอุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณผ่านสายดิจิตอล, ระบบโฮมออดิโอ เป็นต้น
ระบบ Dolby Headphone
เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจ ถือเป็นการปฏิวัติอีกขั้นหนึ่งของระบบเสียง โดยสามารถนำเสนอระบบเสียงที่มีคุณภาพให้กับผู้ใช้ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวผ่านทางอุปกรณ์อย่าง Headphone ทำให้ผู้ฟังมีความสุขเกี่ยวกับการ ฟังเพลงในทุกแนวและในทุกๆ ที่ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย เสมือนมีโลกส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครมา ยุ่งเกี่ยว โดยระบบนี้มีกระบวนการสังเคราะห์เสียงที่มีช่องสัญญาณเสียงมากถึง 5.1 ช่องสัญญาณเสียง จากหูฟังเพียง 2 ข้างเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับหูฟังที่คุณใช้ด้วยว่ารองรับระบบนี้หรือ ไม่ เราสามารถที่จะรับฟังระบบเสียงแบบนี้ได้จากระบบดิจิตอลทีวี (Digital TV), เครื่องพีซีหรือเครื่องเล่น ดีวีดีทั่วไป
ทั้งหมดที่ได้บอกไปข้างต้นก็เป็นระบบเสียง Doldy ในระบบต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่หลายคนยังไม่ค่อยพบเห็นกันมากนัก ทีนี้เราลองศึกษาระบบเสียงแบบ DTS ซึ่งเป็นระบบเสียงอีกแบบที่ได้สร้างขึ้นจากผู้พัฒนาระบบเสียง โดยระบบ DTS เริ่มเข้ามาพัวพันเกี่ยวกับอุปกรณ์มัลติมีเดียมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาฝังตัวในซาวด์การ์ดรุ่นใหม่ เพื่อการสังเคราะห์ ระบบเสียงแบบ DTS ขึ้นหรือจะเป็นลำโพงราคาแพงที่รองรับกับระบบเสียง DTS นี้ ระบบเสียงแบบ DTS นี้ยังสามารถที่จะแบ่งแยกย่อยได้อีกหลายประเภท ซึ่งสามารถดูรายละเอียดต่างๆได้ดังต่อไปนี้
DTS NEO : 6
ระบบ DTS นี้ย่อมาจากคำว่า Digital Theater Systems ซึ่งเป็น เครื่องหมายการค้าของ Digital Theater Systems, Inc ความหมายของระบบนี้ ถ้าแปลตรงตัวก็คือระบบที่เหมาะสำหรับโรงภาพยนตร์ สามารถส่งสัญญาณใน รูปแบบของสัญญาณดิจิตอล โดยระบบ DTS NEO:6 นี้จะเป็นการส่งสัญญาณเสียงที่เน้นลำโพงแบบ 2 ช่องสัญญาณเป็นหลัก คือลำโพงทั้งซ้ายและขวา ผสมผสานกับช่องสัญญาณเสียงเซอราวด์รอบข้างในแบบ 5.1 แชนแนล ทำให้เกิดเสียงที่มีมิติรอบตัวของผู้ฟัง ระบบเสียงนี้สามารถที่จะรับฟังได้จากต้นกำเนิดเสียงอย่างเครื่องเล่นซีดี ทั่วไป เทปและอุปกรณ์อื่นๆ ที่หลากหลายรวมทั้งระบบโฮมเธียเตอร์และระบบออดิโอในรถ
DTS 5.1 Discrete
ส่วนระบบ DTS 5.1 Discrete นี้นั้นจะมีการทำงานในแบบ 5.1 แชนแนล คือช่องสัญญาณเสียงที่มาจากด้านซ้าย เซ็นเตอร์ ขวา เซอราวด์ซ้าย เซอราวด์ขวาและซับวูฟเฟอร์ โดยแต่ละช่องสัญญาณ เสียงจะส่งคลื่นเสียงมายังรอบๆ ตัวผู้ฟัง ซึ่งจะให้เสียงที่เซอราวด์ โดยระบบเสียงแบบนี้สามารถสร้างความบันเทิงได้จากการฟังเพลงและการชมภาพยนตร์ เรื่องโปรด
DTS ES
ระบบเสียงแบบ DTS ES นี้ คงมีหลายคนที่รู้จักค่อนข้างดี ซึ่งในการทำงานนั้นจะคล้ายๆ กับระบบ DTS 5.1 Discrete แต่จะมีการเพิ่มช่องสัญญาณเสียงทางด้านหลังเข้ามาอีกตัวเพื่อมิติของเสียง ที่ดียิ่งขึ้น โดยจะผสมผสานกับช่องสัญญาณเสียงจากตัวเซ็นเตอร์ และลำโพงตัวอื่นๆ พูดง่ายๆ ระบบเสียงนี้จะมีการทำงานในแบบ 6.1 แชนแนล ถือเป็นระบบเสียงอีกแบบที่น่าจับตามอง
DTS 96/24
ระบบเสียงสุดท้ายของ DTS ที่ขอแนะนำคือ ระบบเสียงแบบ DTS 96/24 ที่ถือเป็นระบบเสียงแบบ 5.1 แชนแนลที่มีการส่งสัญญาณเสียงอย่างเต็มกำลังและมีระบบเสียงที่เซอราวด์รอบ ทิศทาง ให้เสียงที่มิติ อีกทั้งระบบเสียงนี้สามารถที่จะให้เสียงที่มีพลังและมีความคมชัดที่ดี เพราะมีคุณภาพเสียงแบบ 96kHz/24 บิต ซึ่งเป็นระบบเสียงคุณภาพสูงและมีอยู่ในอุปกรณ์ราคาแพงๆ ระบบเสียงแบบนี้จะพบได้ในระบบ DVD เหมาะสำหรับระบบโฮมเธียเตอร์ในปัจจุบัน
ระบบเสียง Sound System
ระบบ THX
ระบบเสียงนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Lucasfilm ซึ่งมีชื่อย่อมาจากคำว่า Tomlinson Holman's experiment ระบบเสียงนี้ส่วนมากเราสามารถที่จะรับฟังได้จากโรงภาพยนตร์โดยทั่วไป ถ้าใครได้ไปชมภาพยนตร์บ่อยๆ ก็คงจะทราบว่าเสียงที่ได้จากระบบนี้มันสุดยอดขนาดไหน การที่ระบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาก็เพราะว่า เพราะว่าในโรงภาพยนตร์ที่ต่างที่กันนั้น จะมีการจัดวางลำโพงและมีระบบเสียงที่แตกต่างกัน ทำให้เสียงที่ออกมานั้นมีความผิดกันออกไปในแต่ละที่ ดังนั้นจึงได้กำหนดมาตรฐานนี้ขึ้นมาเพื่อให้โรงภาพยนตร์แต่ละแห่งมีระบบ เสียงที่เหมือนๆ กัน การทำงานของระบบเสียง THX ที่สามารถ แสดงระบบเสียงที่มีคุณภาพได้จากลำโพง บริวารเพียงแค่ 2 ตัว ซึ่งมีลำโพงจำพวกนี้ อยู่มากในปัจจุบัน
นอกจากระบบเสียงนี้จะมีให้ได้ยินกันตาม โรงหนังอย่างที่บอกแล้ว ปัจจุบันได้มีการนำเอาระบบ THX นี้บรรจุเข้าไปในซาวนด์การ์ด ยิ่งซาวนด์การ์ดราคาแพงนั้นสามารถที่จะสังเคราะห์ระบบเสียงคุณภาพ ออกมาได้หลายรูปแบบมากขึ้น รวมทั้งลำโพงบางรุ่นก็ได้พกพาระบบ THX รวมไว้ในตัวด้วย ดังนั้นจึงทำให้ระบบ THX นี้ได้ขยายขอบเขตการใช้งานให้กว้างมากยิ่งขึ้น จนสามารถที่จะสร้างความบันเทิงหรือสรรค์สร้างระบบโฮมเธียเตอร์ภายในบ้านของ คุณได้อย่างไม่ยากนัก
ระบบ THX ยังแทรกซึมเข้าไปสู่ระบบอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงที่ได้จาก DVD โดยสามารถให้ระบบเสียงดิจิตอลทั้งภาพและเสียง ปัจจุบันสามารถพบเห็นแผ่น DVD ที่รองรับระบบ THX มากมาย ระบบเกมก็ยังได้นำเอาระบบเสียง THX มารวมไว้เพื่อความบันเทิงที่มากยิ่งขึ้น ระบบเครื่องเสียงบนรถบางคันก็มีระบบ THX ไว้ใช้กันแล้ว นับเป็นอีกระบบเสียงหนึ่งที่เข้ามาครอบคลุมการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น